ภูมิแพ้ตัวเอง : Autoimmune หมายถึง การที่ภูมิคุ้มกันร่างกายเข้าทำร้ายเนื้อเยื่อร่างกายของตัวเอง เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวสูญเสียความทรงจำ ไม่สามารถแยกแยะเนื้อเยื่อตัวเองออกจากสิ่งแปลกปลอม จึงหลงผิดเข้าจู่โจมและทำร้ายเนื้อเยื่อตนเอง ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนโครงสร้างของเนื้อเยื่อและอวัยวะถูกทำลายเสียหายและทำงานไม่ได้ในที่สุด บางครั้งเรียก โรคภูมิต้านตนเอง
สาเหตุของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด โรคภูมิแพ้ตัวเองมีอยู่หลายชนิดขึ้นกับลักษณะการเกิดโรค อวัยวะที่ถูกทำลาย และอาการแสดงต่างๆ บางชนิดจะทำลายเฉพาะอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งเท่านั้น บางชนิดจะทำลายอวัยวะหลายระบบพร้อมกัน
คลินิกโรคข้อและภูมิแพ้ตัวเอง โรงพยาบาลขอนแก่นราม ให้บริการดูแลรักษาโดยอายุรแพทย์ด้านโรคข้อและรูมาติสซั่ม ซึ่งเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาโรคกลุ่มภูมิแพ้ตัวเองที่เกิดกับหลายระบบพร้อมกัน เช่น โรคเอสแอลอี โรคหนังแข็ง โรคกล้ามเนื้ออักเสบ เป็นต้น
อาการของโรคข้อและโรคภูมิแพ้ตัวเอง
มีการอักเสบของข้อและร่างกายทั้งระบบ อาการได้แก่
- ปวด บวม แดง ร้อน และกดเจ็บบริเวณข้อ
- ข้อที่อักเสบได้บ่อย ได้แก่ ข้อมือ ข้อโคนนิ้วมือ ข้อนิ้วมือส่วนต้น ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อโคนนิ้วเท้า
- ฝืดขัดข้อ และขยับข้อลำบากในตอนเช้า
- พบปุ่มรูมาตอยด์ร้อยละ 17-25
- อาการอื่นๆ เช่น ไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาอักเสบ ปากแห้ง ปอดเป็นพังผืด
- อาการจากภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
เกิดจากภาวะที่มีกรดยูริกในร่างกายสูง และมีการตกผลึกของกรดยูริกภายในข้อและอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดการอักเสบของข้อ พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง สังเกตอาการได้ดังนี้
- มีอาการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณหลังข้อเท้า ข้อนิ้วเท้า ข้อเข่า หรือข้ออื่นๆ อาการเป็นๆ หายๆ
- ถ้าได้รับการกระตุ้นจากสาเหตุต่างๆ เช่น ทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง หรือดื่มแอลกอฮอล์ ข้อที่อักเสบจะบวมขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจมีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว
- ถ้าไม่ได้รับการรักษา การอักเสบจะถี่ขึ้น จำนวนวันที่อักเสบนานขึ้น เป็นหลายข้อพร้อมกันและกลายเป็นข้ออักเสบเรื้อรัง ทำให้ข้อผิดรูปและข้อเสียอย่างถาวรได้
- ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดนิ่วในไตได้ร้อยละ 20 และมีโอกาสไตวายได้ประมาณร้อยละ 10
เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองชนิดที่พบบ่อยที่สุด อาการผิดปกติที่เข้าข่ายโรคเอสแอลอี ได้แก่
- มีไข้ไม่ทราบสาเหตุเป็นเวลานาน
- มีอาการปวดบวมตามข้อเรื้อรัง
- มีผื่นแดงขึ้นบริเวณใบหน้า หรือมีผื่นคันบริเวณที่ถูกแสงแดด ผิวไวต่อแสงแดด
- ผมร่วงมากผิดปกติ
- มีบวมตามแขน ขา หรือมือ
- รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนแรง ฯลฯ
เกิดจากการแข็งของผิวหนัง มีเนื้อเยื่อพังผืดแทรกอยู่ในชั้นผิวหนังและอวัยวะภายในมากผิดปกติ มีอาการได้แก่
- ผิวหนังสีคล้ำและตึงขึ้น บางคนไม่สามารถกำแบมือได้เต็มที่
- ปลายนิ้วมือมีสีม่วง หรือคล้ำเนื่องจากผิวหนังขาดออกซิเจนเมื่อสัมผัสความเย็น
- ผู้ป่วยร้อยละ 80 มีอาการกลืนลำบาก เจ็บเวลากลืน หรือมีกรดไหลย้อน หรือหลอดอาหารอักเสบ
- พบอัตราการเกิดโรคที่หัวใจได้ร้อยละ 30-80 กล้ามเนื้อหัวใจเกิดพังผืด
- พบโรคไตร้อยละ 10-40 มีอาการปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง และหรือตามัวเฉียบพลัน
มีการอักเสบของกล้ามเนื้อหลายมัดพร้อมกัน เช่น ต้นแขน ต้นขา กล้ามเนื้อหลอดอาหาร อาการสำคัญ ได้แก่
- มักเริ่มต้นด้วยขาอ่อนแรง ตามด้วยกล้ามเนื้อแขนอ่อนแรง ทำให้ยกแขนหยิบของสูงไม่ได้ ถ้าเป็นที่กล้ามเนื้อต้นคอจะยกศีรษะจากหมอนลำบาก
- อาจมีปวดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะหลังออกกำลังกาย กลืนอาหารลำบาก สำลักน้ำออกจมูก และสำลักอาหารเข้าปอดได้
- ผื่นสีออกม่วงบริเวณรอบดวงตาโดยเฉพาะเปลือกตาบน พบได้ 50%
- ปวดข้อ หรือข้ออักเสบหลายๆ ข้อ
- อาจพบอาการหอบเหนื่อยได้จากการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อระหว่างซี่โครง
- หัวใจเต้นผิดปกติ
ยาที่ใช้รักษาโรคภูมิแพ้ตัวเอง แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
- ยาที่ใช้บรรเทาอาการ เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ : NSAIDs
- ยาที่ใช้ทดแทนฮอร์โมน หรือสารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้
- ยากดภูมิคุ้มกัน ใช้เพื่อควบคุมโรคไม่ให้อวัยวะของร่างกายถูกทำลายเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป ตัวอย่างเช่น ยาสเตียรอยด์ที่ใช้ควบคุมไตอักเสบจากโรคเอสแอลอี
ตลอดขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แพทย์จะนัดติดตามดูอาการและเจาะเลือดตรวจเป็นระยะ โดยแพทย์จะลดขนาดยาลงเมื่อเห็นว่าสามารถควบคุมโรคได้ดีแล้ว แต่จะต้องกินยาไปนานเพียงใดนั้น ขึ้นกับชนิดของโรคและอาการของผู้ป่วยแต่ละราย
เบอร์โทร
โทร : 043-002-002 ต่อ 2720 , 2730
เวลาทำการ
เปิดบริการ ทุกวัน เวลา 8.00-20.00 น.
สถานที่ตั้ง
อาคาร 2 ชั้น 2