5 คำถาม ? ว่าด้วยเรื่อง "ฝ้า"
Summer is coming!!!! ฤดูร้อนกำลังจะมาเยือน ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน แสงแดดในฤดูร้อนนี้เป็นสาเหตุของปัญหาผิวพรรณมากมาย หนึ่งในปัญหาเด่นๆ โดยเฉพาะของคุณผู้หญิงทั้งหลาย คือ “ฝ้า”(Melasma) เพราะฉะนั้นเรามาทำความรู้จักและเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาเรื่องฝ้าที่จะมาพร้อมกับฤดูร้อนนี้กันครับ
Q : ฝ้ามีสาเหตุเกิดจากอะไร ?
A : สาเหตุหลักๆ ของฝ้าได้แก่
- พันธุกรรม (Genetic) พบว่ามีความสัมพันธ์ของฝ้ากับพันธุกรรมซึ่งบุคคลที่เป็นฝ้าจะมีพันธุกรรมที่เอื้อต่อการเป็นฝ้าแฝงอยู่เสมอ แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถหายีนที่ควบคุมการเกิดฝ้าได้
- แสงแดด (Ultraviolet) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อฝ้าที่สำคัญที่สุด เพราะแสงแดดจะกระตุ้นเซลล์เม็ดสี (Melanocyte) โดยตรงให้สร้างเม็ดสี และกระจายเม็ดสีออกสู่ผิวหนังทำให้รอยดำของฝ้าเข้มขึ้นเรื่อยๆ
- ฮอร์โมน (Hormone) พบว่าการเกิดฝ้ามีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนกับฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือจะเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงที่เป็นฝ้าและรับประทานยาคุมกำเนิดจะทำให้ฝ้าเข้มขึ้นและดื้อต่อการรักษา
Q : ฝ้ารักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ?
A : ฝ้า 90% พบในเพศหญิงซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศหญิง
และคนที่เป็นฝ้านั้นมียีนที่เอื้อต่อการเกิดฝ้าอยู่ในพันธุกรรมของตนอยู่แล้ว จึงไม่สามารถทำให้หายขาดได้ แต่ปัจจุบันมีวิธีการดูแลรักษาที่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้ถึงแม้ไม่หายขาดแต่ก็สามารถทำให้จางลงและควบคุมไม่ให้ฝ้าเข้มขึ้น จนดูใกล้เคียงกับผิวปกติได้เลยทีเดียวQ : ทากันแดดแล้วทำไมฝ้ายังเข้มขึ้น ?
A : ปัญหามักเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนและวิธีใช้กันแดดที่ยังไม่ถูกต้อง
การรักษาฝ้าที่ถูกต้อง ต้องเริ่มจากการป้องกันที่ถูกต้อง ปัจจัยหลักของการเกิดฝ้าที่เราป้องกันได้คือ "แสงแดด" การป้องกันแสงแดดที่ถูกต้องต้องเริ่มจาก
- การเลือกครีมกันแดดที่ถูกต้อง ควรเลือกใช้ครีมที่ SPF30+ PA++ ขึ้นไปเพื่อป้องกันได้ทั้งรังสียูวีบี & ยูวีเอ แต่สำหรับคนที่เป็นฝ้าแล้วถ้าให้ดีเลือกที่ SPF50+ PA+++ เพื่อให้ปกป้องผิวจากแดดได้เพียงพอ ปัจจุบันมีครีมกันแดดหลากหลายชนิด อาจทำให้การเลือกกันแดดให้เหมาะกับผิวตนเองเป็นเรื่องยากขึ้น หากพบปัญหาในการเลือกกันแดดควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อเลือกกันแดดที่เหมาะกับผิวหน้า
- การใช้กันแดดในปริมาณที่ถูกต้อง คนส่วนมากเข้าใจผิดว่าแค่เลือกใช้กันแดด SPF/PA สูงๆ เท่านั้นก็เพียงพอ ทาปริมาณแค่ไหนก็ได้ คงจะได้ SPF/PA เท่ากับที่ระบุไว้ ซึ่งความจริง หากอยากได้ SPF/PA ตามที่ระบุของกันแดด ต้องทากันแดดปริมาณ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร หรือเท่ากับปริมาณ 1 ข้อนิ้วมือพูนๆ ซึ่งปกติน้อยคนที่จะทาได้ตามปริมาณนั้น แล้วถ้าใช้ไม่ถึงล่ะจะเป็นอย่างไร จะได้ SPF แค่ไหน
ลองดูงานวิจัยในภาพ (Fig 1) ใช้กันแดด SPF 35 มาทดลองพบว่า หากลดปริมาณกันแดดลงครึ่งหนึ่ง เป็นหนึ่งข้อนิ้วมือ(1 mg/cm2) SPF ลดลงเหลือ 5!!! นั่นหมายถึงถ้าทาน้อยกว่านั้นก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์จากกันแดดเลย
(งานวิจัย : The relation between the amount of sunscreen applied and the sun protection factor in Asian skin.)
นั่นจึงเป็นเหตุให้เราควรใช้ SPF สูงๆ เพราะแม้จะใช้ไม่ถึงปริมาณที่กำหนดก็ยังพอเหลือ SPF ปกป้องผิวได้บ้าง
- ส่วนมากเราจะทากันแดดกันครั้งเดียวตอนเช้าแล้วเชื่อว่าปกป้องผิวเราได้ทั้งวันซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะกันแดดไม่ว่าจะยี่ห้อไหนรุ่นไหนในสภาพความเป็นจริงก็ปกป้องผิวได้ไม่เกิน 2-6 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นในคนทั่วไปอาจต้องทาซ้ำทุก 4 ชม. แต่ในคนที่เป็นฝ้าควรทาซ้ำทุก 2 ชม.หากต้องอยู่กลางแจ้ง
Q : การรักษาฝ้ามีวิธีใดบ้าง ?
A : การรักษาฝ้าปัจจุบันมีหลายวิธี
- การใช้ยาทา มีอยู่หลายสูตร ซึ่งส่วนผสมหลักคือ ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ซึ่งเป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะหากมีสัดส่วนที่มากเกินไปจะเกิดอันตรายถึงขั้นเซลล์เม็ดสีตายและเกิดเป็นด่างขาวขึ้น ซึ่งพบปัญหานี้ได้บ่อยจากการทำครีมฝ้าหน้าใสขายตามท้องตลาดโดยผู้ผลิตไม่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอ จนส่งผลเสียถึงผู้บริโภคในที่สุด แต่ถ้าใช้ในสัดส่วนที่ถูกต้องจะให้ผลการรักษาทีดี
- การใช้ยารับประทานกลุ่ม Tranexamic acid เป็นยาที่มีรายงานทางการแพทย์ว่าสามารถทำให้ฝ้าจางลงได้ แต่เนื่องจากยาตัวนี้มีผลรักษาเกี่ยวกับระบบการแข็งตัวของเลือด & ผลข้างเคียงอื่นๆ ก่อนเริ่มการรักษาด้วยยารับประทานควรได้รับการตรวจและประเมินก่อนให้ยาโดยแพทย์เฉพาะทางผิวหนังก่อนเสมอ
- การใช้เลเซอร์และทรีตเมนท์รักษาฝ้า
- Chemical peeling การผลัดผิวด้วยกรด TCA หรือกรดผลไม้ เพื่อทำให้ผิวหนังบริเวณที่มีฝ้าหลุดลอกออก ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมนักเพราะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงและรอยดำได้
- Electroporation คือการใช้เครื่องมือที่ใช้ ion wave นำตัวยาเข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกกว่าการทายา เพื่อลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี มักใช้เสริมการรักษาหลังจากที่ทำเลเซอร์
- เลเซอร์ที่ทำลายเม็ดสีส่วนเกิน เลเซอร์กลุ่มนี้จะผ่านผิวหนังลงไปทำให้เม็ดสีส่วนเกินแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ และถูกทำลายต่อไป โดยไม่ทำให้ผิวบาง/ไวแดด (ถ้าเป็นเลเซอร์ที่มาตรฐาน & ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจริงๆ) ได้แก่ Q-switched Nd YAG , Copper Bromide laser , PicoSure etc. การจะเลือกใช้เลเซอร์ชนิดใดควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและเลือกชนิดเลเซอร์ที่เหมาะกับปัญหามากที่สุด เพื่อผลการรักษาที่น่าพึงพอใจ
Q : ฝ้าควรเริ่มรักษาเมื่อใด ?
A : ฝ้าโดยปกติจะเริ่มพบเมื่อช่วงเข้าสู่วัยรุ่น ควรเริ่มรักษาตั้งแต่เริ่มพบปัญหา
เพราะยิ่งเริ่มรักษาเร็วเมื่อยังเป็นน้อยการรักษาจะได้ผลดีกว่าปล่อยให้เป็นเยอะๆ แล้วค่อยมารักษา
แต่ปัญหาจุดด่างดำบนใบหน้าของผู้หญิงไม่ได้มีฝ้าอย่างเดียว มีทั้ง กระลึก (Nevus of Ota/Hori) กระแดด (Freckle) กระแดดชนิดลึก (Solar lentigo) กระเนื้อ (Seborrheic keratosis) etc.
ซึ่งหากพบจุดด่างดำที่เริ่มเห็นชัดบนใบหน้า ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางผิวหนังก่อนเสมอ เพราะการวินิจฉัยที่ถูกต้องจะนำไปสู่ผลการรักษาที่ดีและน่าพึงพอใจในที่สุด
คุกกี้และความเป็นส่วนตัว
เมื่อคลิก “อนุญาตคุกกี้ทั้งหมด” หมายความว่าผู้ใช้งานยอมรับที่จะเปิดการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเปิดใช้คุณสมบัติของโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำการตลาดและการโฆษณา รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลการใช้งานกับพาร์ทเนอร์โซเชียลมีเดีย