วัคซีนในผู้ใหญ่ ฉีดไว้เพิ่มภูมิคุ้มกัน
โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนเพราะตอนเป็นเด็กฉีดวัคซีนครบแล้ว ร่างกายก็คงมีภูมิคุ้มกันโรคอยู่แล้ว แต่มีเหตุผลหลายประการที่วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ยังคงต้องรับวัคซีนบางชนิด
- วัคซีนหลายชนิดที่เคยฉีดนั้นไม่สามารถป้องกันโรคได้ตลอดชีวิต ภูมิคุ้มกันโรคจากวัคซีนที่เคยได้รับในวัยเด็กลดลงตามเวลา อาจนำไปสู่การติดเชื้อได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ถุงลมโป่งพอง หอบหืด ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ ผู้ที่ตัดม้าม เป็นต้น
- วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่ไม่เคยได้รับวัคซีนหรือฉีดวัคซีนไม่ครบ ก็ใช้โอกาสนี้รับวัคซีนเพิ่มเติม
- โรคติดเชื้อบางชนิดอาจเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เช่น การติดเชื้อไวรัสเอชพีวีจากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
- ปัจจุบันมีวัคซีนชนิดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่น วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ซึ่งการฉีดวัคซีนช่วยลดโอกาสการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน และช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้อีกด้วย
วัคซีนที่ควรฉีดในวัยรุ่นและผู้ใหญ่มีอะไรบ้าง ?
- วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ Influenza vaccine แนะนำให้ฉีดทุกปี เนื่องจากเชื้อไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ทุกปี โดยฉีดปีละ 1 ครั้ง ช่วงก่อนมีการระบาด ในประเทศไทยมักระบาด 2 ช่วงคือ ช่วงฤดูฝนและช่วงฤดูหนาว
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ Hepatitis A vaccine โรคนี้ติดต่อจากการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อในผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรัง ผู้ที่มีอาชีพประกอบอาหาร หรือผู้อาศัยอยู่ในที่ที่มีผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างแออัด โดยฉีด 2 ครั้งห่างกัน 6-12 เดือน เชื่อว่าจะมีภูมิคุ้มกันนานเกิน 10 ปี หรือวัคซีนชนิดเชื้อเป็นฉีดเพียงครั้งเดียว
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบ บี Hepatitis B vaccine แนะนำให้ฉีด เนื่องจากคนที่ติดเชื้อส่วนหนึ่งเมื่อหายจากตับอักเสบอาจกลายเป็นพาหะของโรค สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ทางเลือดและสารคัดหลั่ง เช่น ทางเพศสัมพันธ์ จากแม่สู่ลูกขณะคลอด ทางการให้เลือด หรือการใช้สิ่งของร่วมกัน อีกทั้งผู้ที่มีเชื้ออยู่ในร่างกายเป็นระยะเวลานานอาจเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับในอนาคต โดยวัคซีนไวรัสตับอักเสบ บีต้องฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งที่ 2 ห่างครั้งแรก 1-2 เดือน ครั้งที่ 3 ห่างครั้งแรก 6-12 เดือน
- วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรนชนิดไร้เซลล์ Tdap หรือ TdaP แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักในคนทั่วไป 3 ครั้ง โดย 1 ใน 3 ครั้ง ควรเป็นวัคซีน Tdap หรือTdaP และฉีดกระตุ้นบาดทะยักทุก 10 ปี
- วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส Varicella vaccine ฉีดในผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนหรือไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน โดยฉีด 2 ครั้งห่างกัน 4-8 สัปดาห์ หญิงวัยเจริญพันธุ์ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์เป็นเวลา 1 เดือนหลังฉีดวัคซีน
- วัคซีนป้องกันงูสวัด Herpes zoster แนะนำให้ฉีดในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเนื่องจากเป็นช่วงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคงูสวัดสูงสุด ผู้ป่วยที่มีอายุ 50 - 59 ปีที่มีความประสงค์จะรับวัคซีนนี้ ควรปรึกษาแพทย์เนื่องจากวัคซีนนี้สามารถป้องกันโรคงูสวัดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในช่วง 5 ปีแรก แนะนำฉีดเพียงครั้งเดียวไม่ต้องมีการฉีดกระตุ้นซ้ำ
- วัคซีนป้องกันเอชพีวีในผู้หญิง HPV vaccine เป็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 70% แนะนำให้แก่ผู้หญิงอายุ 9-45 ปี ไม่แนะนำให้ฉีดในหญิงตั้งครรภ์ หลังฉีดวัคซีนแล้วยังต้องมารับการตรวจภายในและตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ
- วัคซีนป้องกันเอชพีวีในผู้ชาย HPV vaccine ป้องกันการติดเชื้อบริเวณทวารหนัก โรคหูดหงอนไก่ และมะเร็งของทวารหนัก
- วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม Measles-Mumps-Rubella vaccine : MMR ในผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยป่วยเป็นโรคทั้ง 3 นี้มาก่อน รวมทั้งผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนไม่ครบ 2 ครั้ง ควรได้รับวัคซีนรวมอย่างน้อย 1 ครั้ง หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันมาก่อน ควรได้รับวัคซีนหัดเยอรมันหรือวัคซีนรวมหัด-หัดเยอรมัน-คางทูมอย่างน้อย 1 ครั้ง และหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์เป็นเวลา 3 เดือนหลังฉีดวัคซีน
- วัคซีนนิวโมคอคคัส Pneumococcal vaccine เพื่อป้องกันการติดเชื้อนิวโมคอคคัสที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคติดเชื้อในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เด็กเล็กและผู้อายุมากกว่า 65 ปี ผู้ที่ไม่มีม้าม หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยในผู้ใหญ่ฉีดวัคซีนชนิด 13 สายพันธุ์ ฉีดเพียงครั้งเดียว และอาจฉีดกระตุ้นด้วยชนิด 23 สายพันธุ์อีกครั้งหลังฉีดครั้งแรก 1 ปีขึ้นไป
วัคซีนสำหรับหญิงตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์ทุกรายควรได้รับวัคซีนตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ แต่มีบางรายที่ไม่เคยรับวัคซีนมาก่อนที่จะตั้งครรภ์ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะติดโรค ซึ่งวัคซีนที่แนะนำให้ฉีดมีดังนี้
- วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก Tdap ในปัจจุบันได้พบการระบาดของโรคคอตีบในประเทศไทยและพบไอกรนมากขึ้น ซึ่งเด็กทารกที่คลอดออกมา กว่าจะมีภูมิคุ้มป้องกันโรคได้จะต้องได้รับวัคซีน 3 ครั้งจึงจะป้องกันโรคได้ (อายุ 6 เดือน) การให้วัคซีนในมารดา จะช่วยป้องกันการติดเชื้อในทารกช่วงแรกได้ โดยอายุครรภ์ที่เหมาะสมคือ 27-36 สัปดาห์ (ไตรมาสที่ 3)โดยในหญิงตั้งครรภ์จะได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยัก 2 ครั้ง ในครั้งที่ 2 ให้ฉีดเป็นวัคซีน Tdap หรือ TdaP และในทุกการตั้งครรภ์ควรได้ Tdap หรือTdaP 1 ครั้ง ถึงแม้จะเคยได้รับมาก่อนก็ตาม
- วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่ทำอันตรายสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะหากเป็นแล้วจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวม เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ หรือหัวใจวายได้ จึงแนะนำให้วัคซีนนี้ฉีด 1 เข็ม ป้องกันได้ 1 ปี
ดังนั้น ควรหมั่นดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ตลอดจนหมั่นมาตรวจสุขภาพร่างกายเพื่อค้นหาความผิดปกติแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่ารอให้ป่วยแล้วจึงค่อยมาพบแพทย์เพื่อรักษา ซึ่ง“วัคซีน”ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้สามารถป้องกันการติดเชื้อจากโรคที่สามารถป้องกันได้
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง
โปรแกรมตรวจสุขภาพ Basic
อายุน้อยกว่า 25 ปี
โปรแกรมตรวจสุขภาพ Complete
อายุน้อยกว่า 30 ปี
ตรวจสุขภาพ Executive
อายุน้อยกว่า 35 ปี
ตรวจสุขภาพ ชาย Advance
ชาย อายุมากกว่า 35 ปี
ตรวจสุขภาพ หญิง Advance
หญิง อายุมากกว่า 35 ปี
ตรวจสุขภาพ ชาย Premium
ชาย อายุมากกว่า 45 ปี
ตรวจสุขภาพหญิง Premium
หญิง อายุมากกว่า 45 ปี
วัคซีนผู้ใหญ่
เมื่อซื้อร่วมกับ โปรแกรมตรวจสุขภาพ 9 โปรแกรม
วัคซีนไข้หวัดใหญ่
วัคซีนไข้หวัดใหญ่
คุกกี้และความเป็นส่วนตัว
เมื่อคลิก “อนุญาตคุกกี้ทั้งหมด” หมายความว่าผู้ใช้งานยอมรับที่จะเปิดการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเปิดใช้คุณสมบัติของโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำการตลาดและการโฆษณา รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลการใช้งานกับพาร์ทเนอร์โซเชียลมีเดีย